ในแง่บวก
ประเทศส่วนใหญ่เริ่มมีท่าทีที่อ่อนข้อลงกับพม่า โดยเฉพาะประเทศในตะวันตก--สหรัฐอเมริกาและยุโรป
อย่างน้อย ประเทศเหล่านี้มองว่า
พม่ามีความจริงใจในการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง
ตัวอย่างของการแสดงความอ่อนข้อในเรื่องนโยบาย อาจได้แก่
การที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปได้พบปะกันเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
เพิ่อพิจารณายกเลิกมารตรการคว่ำบาตรบางมาตรการต่อพม่า ขณะเดียวกัน
รัฐสภาของพม่าออกรายงานที่มีเนื้อความว่า
รัฐบาลของประธานาธิบดีโอบามาน่าจะยกเลิกมาตราการคว่ำบาตรในบางด้านเช่นกันหลังจากที่การเลือกตั้งซ่อมในพม่าเมื่อวันที่
1 เมษายน 2555 สิ้นสุดลง ในเอเชียนั้น ประเทศที่เริ่มปรับนโยบายพม่าที่เห็นชัดเจนคือญี่ปุ่น
เมื่อเร็วๆ นี้
ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นได้ส่งตัวแทนเดินทางไปยังพม่าเพื่อเริ่มโครงการให้ความช่วยเหลือและลงทุนในภาคอุตสาหกรรมสำคัญของพม่า
โดยญี่ปุ่นได้ย้ำกับผู้นำของพม่าว่าพร้อมที่จะทำงานร่วมกันเพื่อที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจพม่าเข้มแข็งและมีกฏเกณฑ์ที่แน่ชัดมากขึ้น
อันจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อนักลงทุนต่างชาติ
ในส่วนของแง่ลบนั้น
ปัญหาการกักขังนักโทษการเมืองของพม่า
(แม้ว่ารัฐบาลจะให้อิสรภาพแก่นักการเมืองมากพอควรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา)
รวมถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังมีอยู่
นำไปสู่การคงอยู่ของทัศนคติในทางลบของประเทศตะวันตกบางประเทศ นอกจากนั้น
ปัญหาการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ และปัญหาการค้ามนุษย์
ล้วนแต่เป็นปัจจัยตัดโอกาสความน่าเชื่อถือของพม่า และเป็นสาเหตุที่อธิบายว่า
ทำไมมาตรากาคว่ำบาตรจึงไม่หมดไปเสียที
ประเทศตะวันตกบางประเทศรู้สึกผิดหวังที่อาเซียนมอบตำแหน่งประธานให้กับพม่าเร็วเกินไป
โดยแสดงความเห็นว่า อาเซียนน่าจะใช้โอกาสนี้เป็นเครื่องต่อรองพม่า
โดยอาจตั้งเงื่อนไขว่า หากพม่ายินยอมปล่อยตัวนักการเมืองมากขึ้น
ก็จะพิจารณาการมอบตำแหน่งประเทศในปี 2556
อีกครั้งหนึ่ง (ก่อนที่พม่าจะได้ขึ้นมาเป็นประธานในปี 2557)
ขณะเดียวกัน
ปฏิกิริยาของชนกลุ่มน้อยในพม่าก็อยู่ในแง่ลบเช่นเดียวกัน โดยกลุ่ม Burma Partnership ซึ่งเป็นเครือข่ายของชนกลุ่มน้อย
ได้ออกแถลงการณ์กล่าวไม่พอใจต่อการตัดสินใจของอาเซียน โดยแสดงความเห็นว่า
พม่าจำเป็นต้องให้ภารกิจดังกล่าวนี้ให้ลุล่วงก่อนที่จะได้รับมอบภารกิจสำคัญของอาเซียน
ได้แก่ การปล่อยนักโทษทางการเมืองทั้งหมด
การประกาศหยุดยิงถาวรกับชนกลุ่มน้อยและการยุติการโจมตีชนกลุ่มน้อยด้วยกำลังอาวุธที่มีความโหดร้าย
และการเปิดช่องทางการสื่อสารกับชนกลุ่มน้อยและเปิดโอกาสให้ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้เข้ามามีส่วนในกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของพม่าด้วย
นโยบายของพม่าที่ผ่านมาไม่เคยประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ เพราะจริงๆ อาเซียนไม่เคยมีความเป็นเอกภาพในเรื่องพม่า
และนโยบายส่วนใหญ่ก็เกิดจาการตอบสนอง (reaction)
มากกว่าที่จะเป็นผู้กำหนดนโยบายพม่าด้วยตนเอง
นำไปสู่ความไม่สามารถของอาเซียนในการสร้างอิทธิพลเหนือพม่า
นโยบายการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ของอาเซียนต่อพม่า (constructive
engagement) มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากต่างประเทศว่า “ไม่มีน้ำยา” หรือ “ไร้ทิศทางและขาดความขลัง”
แต่อาเซียนก็อดทนต่อคำวิจารณ์เหล่านั้นและยังรอวันที่อาเซียนจะแสดงให้โลกเห็นว่า
นโยบายของตนคือคำตอบที่แท้จริงและการลงโทษพม่าโดยการคว่ำบาตรไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ในพม่าดีขึ้น
และในที่สุด เวลานั้นก็มาถึงเมื่อพม่าเริ่มมีพัฒนาการทางการเมืองในทางบวกมากขึ้น
การมอบภารกิจการเป็นประธานแก่พม่าเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณของอาเซียนให้ประชาคมรับรู้ว่า
ที่ผ่านมา นโยบายของอาเซียนมีความถูกต้องเสมอแม้จะใช้เวลานานในการพิสูจน์
อาเซียนเป็นองค์กรที่ “หวงพื้นที่” กล่าวคือ
ไม่ยอมให้ประชาคมโลกเข้ามาชี้ว่าต้องทำอะไร
(แม้จะรู้ตัวดีว่าบางเรื่องที่ทำอยู่นั้นไร้ประโยชน์สิ้นดี)
การเปิดประเทศของพม่าจึงเป็นโอกาสเหมาะของอาเซียนในอ้างถึงความสำเร็จในนโนยบายที่ผ่านมา
ซึ่งจะเป็นการสร้างความชอบธรรมของอาเซียนไปในตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น